วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

บทที่ 9 ศาสนาบาไฮ

ศาสนาบาไฮ



         ศาสนาบาไฮ  (อังกฤษ: Bahá'í Faith) เป็นศาสนาก่อตั้งใน ค.ศ. 1844 ในอาณาจักรเปอร์เซีย (ปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของประเทศอิหร่าน) มีศาสดาชื่อ พระบาฮาอุลลอฮ์ ศูนย์กลางบาไฮโลกอยู่ที่เมืองไฮฟา มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 2 แห่ง คือ พระสถูปของพระบาฮาอุลลอฮ์อยู่ที่เมืองอัคคา และ พระสถูปของพระบ๊อบอยู่ที่เมืองไฮฟา ในประเทศอิสราเอล ปัจจุบันเผยแผ่ไปกว่า 190 ประเทศ เป็นศาสนาที่เผยแผ่กว้างไกลเป็นอันดับสองรองจากศาสนาคริสต์

ศาสดาของศาสนาบาไฮ
        พระบาฮาอุลลาห์เป็นที่ยอมรับของประชาชนหลายล้านคนทั่วโลกว่าเป็นศาสดาผู้นำข่าวสารของพระผู้เจ้าสำหรับยุคสมัยนี้ตามคำทำนายของพระคัมภีร์ต่างๆ ศาสนาบาไฮได้ก่อตั้งขึ้นโดยยึดคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์เป็นหลัก พระบาฮาอุลลาห์ประสูติเมื่อ ค.ศ. 1817 ในครอบครัวที่สูงส่งในประเทศอิหร่าน ตั้งแต่วัยเยาว์ พระองค์มีสติปัญญาซึ่งพัฒนาเกินวัยอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ไม่ได้เล่าเรียน ท่านยังอุทิศพระองค์โดยเฉพาะให้แก่การบรรเทาสภาพทุกข์ยากของคนยากจน พระนามจริงของพระองค์คือ มีร์ซา ฮุสเซ็น อาลี แต่พระองค์ทรงเรียกพระองค์เองว่า “บาฮาอุลลาห์” ซึ่งหมายถึง “ความรุ่งโรจน์แห่งพระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งเป็นคำนำหน้าพระนามซึ่งพระบ๊อบ (ผู้เบิกทาง) ใช้เรียกพระองค์ คำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ทำให้พระองค์ถูกขับไล่และเนรเทศเป็นเวลานานถึง 40 ปี และในที่สุดก็ได้สิ้นสุด ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ (ปาเลสไตน์) ซึ่งตรงกับคำทำนายของ คัมภีร์ ไบเบิล พระองค์ได้ปรินิพพานในปี ค.ศ. 1892

คัมภีร์ของศาสนาบาไฮ     คัมภีร์ศาสนาบาไฮมีหลายเล่ม เพราะถือธรรมนิพนธ์ของศาสดาบาไฮทุกองค์เป็นตัวคัมภีร์ของศาสนาบาไฮ แต่ที่ให้ความสำคัญมาก ก็คือธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์ ได้แก่
       1. คัมภีร์ (กิตาบี) อัคคัส ว่าด้วยธรรมวินัยต่างๆ เช่น บาไฮศาสนิกชนต้องสวดมนต์ ต้องถือศีลอด 19 วัน ต้องร่วมงานฉลองบุญทุกต้นเดือน ต้องรำลึกถึงวันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา ต้องดำเนินชีวิตอย่างสุขสงบและสามัคคี ต้องให้การศึกษาแก่บุตรหลาน และต้องเว้นอบายมุข เป็นต้น ชาวบาไฮถือว่า คัมภีร์อัคคัส เป็นคัมภีร์สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะนอกจากเป็นนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์แล้ว ท่านยังได้ประทับตราประจำตัวของท่านไว้ด้วย
       2. คัมภีร์วจนะที่ซ่อนเร้น (The Hiden Words) ว่าที่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และความจริงพื้นฐานของศาสนาต่างๆ    3. คัมภีร์หุบผาทั้ง 7 และทั้ง 4 (The Seven and Four Valleys) ว่าด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์ผู้แสวงหาจะต้องพบอะไรบ้าง
       4. คัมภีร์อิกัน (Igan) คัมภีร์แห่งความมั่นใจ คัมภีร์นี้ว่าด้วยการอธิบายคำสอนที่ยากและซับซ้อนมากในปรัชญาของคัมภีร์เก่าๆ และว่าด้วยพระศาสดาที่พระเจ้าทรงส่งลงมายังโลกมนุษย์เป็นคราวๆ อีกด้วย


หลักคำสอนสำคัญของศาสนาบาไฮ       บาไฮเป็นศาสนาสากลที่มีความเป็นอิสระ และมีศาสนิกชนอยู่เกือบทุกประเทศ ศาสนิกชน บาไฮเชื่อว่าศาสนาของพวกเขาไม่ได้เป็นลัทธิหรือนิกายของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามหรือศาสนาอื่นๆ และมิได้เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากพระคัมภีร์ของศาสนาใด แต่ศาสนทูตของพวกเขาได้รับแรงดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าให้ลิขิตธรรมขึ้นมา คำสอนในศาสนาบาไฮจึงเน้นความสามัคคีในระหว่างศาสนา เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์จะหวนกลับมาในแต่ละยุคในกายของศาสดา ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ทราบพระประสงค์ของพระองค์ ศาสดาแต่ละองค์จึงอธิบายกฎและคำสอนต่างๆ ที่เข้ากับยุคสมัย และจะมีการทำนายการมาของศาสดาที่จะมาสถาปนาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในโลกนี้ ในที่สุดเพื่อจะนำมนุษย์ไปสู่ยุคทองแห่งสันติภาพ นั้นหลักคำสอนเบื้องต้นที่สำคัญของบาไฮมี 3 ประการ คือ
       1. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า 
           ศาสนาบาไฮเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ที่ชื่อเรียกหลากหลายออกไปเพราะขึ้นอยู่กับสภาพท้องถิ่นของแต่ละชาติแต่ละภาษา แต่แท้จริงแล้วพระเจ้าคือ สัจธรรมที่เที่ยงแท้ เป็นแหล่งวิทยาการทั้งปวง มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ครอบจักรวาล และเป็นอยู่ตลอดกาล พระองค์ทรงเป็นนามธรรมที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษาของวัตถุ เราจึงไม่สามารถเห็น หรือเข้าใจพระองค์ได้นอกจากอาศัยศาสดาต่างๆ ซึ่งเป็นผู้แทนของพระองค์ที่พระองค์ได้เลือกแล้ว     
       2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนาทั้งปวง
          ศาสนาต่างๆ มาจากที่มาเดียวกันคือ พระเจ้า ดังนั้นคำสอนของศาสดาทั้งหลายจึงมาจากแหล่งความรู้อันศักดิ์สิทธ์ที่เดียวกัน และมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันคือ สอนให้มนุษย์เป็นคนดีและมีความรักในกันและกัน
       3. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ
          แม้ว่ามนุษย์จะมีความแตกต่างในด้านเผ่าพันธุ์ ชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ทั้งหมดนี้มาจากครอบครัวเดียวกัน จึงเปรียบเทียบเหมือนใบไม้เดียวกัน
         คำสอนทั้ง 3 ข้อนี้เป็นพื้นฐานความเข้าใจที่จะนำไปสู่คำสอนทั่วๆไป 4ประการ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 
      1. การแสวงหาความจริงอย่างอิสระ คือ การแสวงหาความจริงด้วยตนเอง ไม่ใช่ยอมรับตามครอบครัวหรือเพื่อน
      2. ขจัดอคติทุกชนิด อคติในที่นี้ได้แก่ อคติทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สีผิว เชื้อชาติ และศาสนา เพราะสิ่งเหล่านี้ทำลายล้างความเป็นปึกแผ่นของมนุษย์
      3. การให้ความเสมอภาค บุรุษและสตรีต้องมีความเท่าเทียมกัน เฉกเช่นปีกสองข้างของนกที่จะต้องช่วยกันกระพือเพื่อเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า
      4. การศึกษาสากล บาไฮเชื่อว่าการศึกษาที่สำคัญ คือ การศึกษาเพื่อให้รักพระผู้เป็นเจ้า และจะต้องมีเจตคติในการรับใช้มนุษยชาติ การศึกษาในเรื่องเหล่านี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต และเป็นสิ่งสำคัญกว่าการจดจำข้อมูล เพราะถ้าการศึกษาเป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง มนุษยชาติจะเปลี่ยนแปลง และโลกนี้จะเป็นสวรรค์บนดินโดยไม่ต้องรอต่อเมื่อตายไปแล้ว
      5. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีทางศีลธรรม คือ การตกลงปรึกษาหารือกัน เป็นหุ้นส่วนและแบ่งปันผลกำไรอย่างยุติธรรม การจัดเก็บภาษีจึงควรเป็นด้วยความสมัครใจไม่ใช่การบังคับ โดยแต่ละคนให้ส่วนหนึ่งจากรายได้ของตนหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว
      6. ศาสนาต้องสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ หากศาสนาอยู่เหนือวิทยาศาสตร์จะทำให้เกิดความบ้าคลั่งและความงมงายทางศาสนา และถ้าวิทยาศาสตร์ไม่ได้นำมาใช้ทางวิทยาศาสตร์จะเป็นสิ่งทำลายล้าง
      7. การมีสันติภาพสากลและรัฐบาลแห่งโลก พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานโลกให้แก่มนุษย์แต่มนุษย์เป็นผู้แบ่งแยกโลกออกเป็นเขตแดน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะสถาปนาสหพันธ์รัฐแห่งโลกเพื่อบริหารในทุกดินแดนของโลกอย่างยุติธรรมภายใต้รัฐบาลเดียวกัน แต่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่จะต้องปกป้องและอภิรักษ์ไว้ เมื่อนั้นมนุษย์จะเห็นว่าโลกของเราเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสมานความสามัคคีกัน
     8. ขจัดความมั่นคงและความยากจนที่มากเกินไป การมีรัฐบาลแห่งโลกจะช่วยในการบริหารทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน และช่วยขจัดความเกินล้นทางเศรษฐกิจ คือ ความมั่นคงและความขัดสน แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนทำงานหนักจะมิได้รับรางวัลสำหรับงานของตน เพราะคนทุกคนจะต้องทำงานให้สุดความสามารถของตนอยู่เสมอ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้พรสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้และเป็นผู้ได้รับการสรรเสริญจากพระองค์ 
     9. การมีภาษาสากล เมื่อทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวกันควรมีภาษาใดภาษาหนึ่งใช้เป็นภาษาสากลเพื่อว่าทุกๆ คนจะได้เข้าใจกันและกัน และหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่เกิดจากการสื่อสารไม่ได้เต็มที่
    10. การมีความจงรักภักดีต่อรัฐบาล การสร้างรัฐบาลแห่งโลกนั้นเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหาใช่ความประสงค์และแรงจูงใจทางการเมืองของบาไฮ เพราะบาไฮมีข้อห้ามที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือการต่อต้านศาสนานั้น อีกทั้งชาวบาไฮไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือองค์การลับใดๆ แต่ชาวบาไฮจะต้องรักชาติ ส่งเสริมประโยชน์ให้แก่ประเทศของตนโดยไม่เห็นแก่ตัวและมีความเชื่อฟังในรัฐบาล โดยมียกเว้นเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ ถ้ารัฐบาลนั้นออกคำสั่งให้บาไฮเลิกนับถือศาสนาของตน ชาวบาไฮไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งแม้จะถูกลงโทษหรือถูกฆ่าก็ตาม
    11. การงดเว้นจากแอลกอฮอล์และยาเสพติด ศาสนาบาไฮห้ามศาสนิกชนทุกคนดื่มเแอลกอฮอล์และเสพยาเสพติด เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีผลต่อการทำลายจิตใจและความเป็นมนุษย์
    12. ห้ามการนินทา การนินทาลับหลังเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก ฉะนั้นจึงเป็นข้อห้ามสำหรับบาไฮ
         นอกจากนี้ยังมีคำสอนอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตหลังความตาย นรกและสวรรค์ บาไฮเชื่อในความมีอยู่ของจิตวิญญาณมนุษย์ว่า มีความคงทนถาวรตราบเท่าที่อำนาจของพระเจ้ายังมีอยู่ และเป็นสิ่งที่ลึกลับยากแก่การที่จะเข้าใจเป็นสิ่งแรกในสภาพสิ่งทั้งปวงที่ประกาศความสมบูรณ์เลิศของพระผู้สร้าง หากวิญญาณซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณนั้นจะสะท้อนความสว่างของพระองค์และกลับไปหาพระองค์ในที่สุด แต่ถ้าวิญญาณไม่จงรักภักดีต่อพระผู้สร้างของตนเองแล้ว วิญญาณนั้นจะกลายเป็นเหยื่อของอัตตาและกิเลส และจะต้องหมักจมอยู่ในนั้น วิญญาณจะปฏิบัติในโลกกายภาพนี้ด้วยความช่วยเหลือของร่างกาย เมื่อวิญญาณจากร่างกายไปแล้ววิญญาณจะปฏิบัติการได้โดยไม่ต้องใช้สื่อกลางสามารถเดินทางผ่านไปในอีกหลายภพ ซึ่งเป็นภพแห่งวิญญาณ ดังนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้วิญญาณจำเป็นต้องพัฒนาบรรลุคุณธรรมต่างๆ เช่น ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อ ฯลฯ หากไม่ได้บรรลุคุณธรรมเหล่านี้ วิญญาณจะต้องพิการในภายหลังที่ร่างกายตายไปและเข้าไปหาพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างเชื่องช้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความปรานีของพระองค์ สำหรับความคิดในเรื่องสวรรค์และนรก ชาวบาไฮเชื่อว่าเป็นสภาวะมากกว่าเป็นสถานที่และเราสามารถอยู่ในสวรรค์หรือนรกได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สวรรค์คือภาวะอันประเสริฐที่ได้ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าและบรรลุโดยการเชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์ นรกคือการอยู่ห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งผลที่ตามมาคือความทุกข์และสิ้นหวัง
       
พระเจ้าสูงสุดของศาสนาบาไฮ
       ศาสนาบาไฮเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้ามีเพียงองค์เดียวแต่รู้จักกันตามชื่อที่เรียกต่างๆ กัน แต่ทั้งหมดนี้หมายถึงพระผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดนั้น พระผู้ทรงมหิทธานุภาพ พระผู้สร้างสรรพสิ่ง และพระผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่มีใครที่เคยเห็นพระองค์แม้นว่ามีความนึกคิดเกี่ยวกับพระองค์โดยอาศัยการสังเกตความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงอยู่เหนือประสบการณ์ของมนุษย์ และอยู่เหนือทรรศนะของมนุษย์ แต่เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจจึงอ้างถึงพระองค์ด้วยพระนามต่างๆ จากธรรมนิพนธ์บาไฮ ได้บอกไว้ว่า "มนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้สาระของพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงเร้นลับอยู่ในสาระอนันต์ของพระองค์และสภาวะของพระองค์จะคงซ่อนเร้นจากสายตาของมนุษย์ชั่วนิรันดร์"
แม้ว่าพระองค์จะมีอยู่อย่างยากที่มนุษย์จะเข้าใจ แต่พระองค์ก็ทรงส่งครูมาบอกเราว่า พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร ครูเหล่านี้ถูกเรียกหลายอย่าง เช่น พระอวตาร ศาสดา และพระผู้แสดงธรรมของพระผู้เป็นเจ้านั้น ครูเหล่านี้เป็นมนุษย์พิเศษที่ถูกเลือกโดยพระผู้เป็นเจ้า เพื่อชี้แนวทางในการดำเนินชีวิต และนำทางมนุษยชาติตามแผนงานของพระองค์ ครูเหล่านี้มีธรรมชาติ 2 ลักษณะในตัว คือเป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่มีวิญญาณที่อิสระเหนือขีดจำกัดของร่างกาย อำนาจของพระเป็นเจ้าปฏิบัติการผ่านทางครูหรือศาสดาเหล่านี้ ดังนั้นท่านเหล่านี้จึงมีชัยเหนือหัวใจของมนุษย์ในที่สุด  ครูหรือศาสดาแต่ละท่านจะสะท้อนคุณลักษณะ และคุณสมบัติของพระผู้เป็นเจ้า เช่น ความรัก ความเมตตาปรานี ความเอื้อเฟื้อ ความอดทน และความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น ดังนั้นทางเดียวที่เราจะรู้จักพระเป็นเจ้าได้ คือการมองไปยังครูหรือศาสดาทั้งหลายเหล่านี้และปฏิบัติตามท่าน เมื่อผู้ใดสวดอธิษฐาน ทำสมาธิ เพื่อจะบรรลุคุณธรรมและคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า เราอาจกล่าวได้ว่า ผู้นั้นกำลังพัฒนาตนเพื่อที่เป็นรูปจำลองของพระผู้
เป็นเจ้า

พิธีกรรมของศาสนาบาไฮ  ศาสนิกชนของบาไฮมีพิธีกรรมที่ต้องการกระทำ คือ
      1 การสวดมนต์ทุกวัน ผู้นับถือศาสนาบาไฮถือว่าการสวดมนต์เป็นการติดต่อกับพระเจ้า อีกทั้งเป็นการพัฒนาจิตใจ การสวดมนต์จึงเป็นรากฐานของศาสนาบาไฮ เพราะฉะนั้นศาสนิกชนบาไฮจะต้องสวดมนต์ทุกวันในเวลาเช้า เที่ยงวัน และเวลาค่ำ
      2 การอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ผู้นับถือศาสนาบาไฮจะต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ในเวลาตื่นเช้าและเข้านอน การอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน จะช่วยทำให้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นตามลำดับ จิตใจจะแน่นอยู่กับพระเจ้าอยู่เสมอ เมื่อใจแนบแน่นอยู่กับพระเจ้า ก็เท่ากับกำจัดกิเลสโดยอัตโนมัติ
     3 พิธีสมรส เป็นพิธีที่ทั้งสองฝ่ายมีความเต็มใจที่จะร่วมชีวิตกัน โดยต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย จึงจะแต่งงานกันได้แต่ต้องติดต่อกับธรรมสภา และในพิธีทั้งสองฝ่ายต้องกล่าวปฏิญาณต่อกันว่า "เราทุกคนจะยึดถือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความสัตย์จริง"หลังจากนั้นอาจจะมีการอ่านธรรมนิพนธ์และบทสวดอธิษฐาน นอกเหนือจากนี้เป็นความปรารถนาของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่จะจัดเสริมออกไปอย่างไรก็ได้
     4 การถือศีลอด ผู้นับถือศาสนาบาไฮจะถือศีลอดประจำปีตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม ถึงวันที่ 20 มีนาคม เป็นเวลาทั้งหมด 19 วัน ในระยะเวลาช่วงนี้ศาสนิกชนบาไฮจะต้องตื่นก่อนตะวันขึ้นเพื่อรับประทานอาหาร สวดมนต์อธิษฐาน เพราะหลังจากตะวันขึ้นแล้วห้ามมีอะไรผ่านเข้าปากแม้แต่น้ำจนกระทั่งตะวันตกดินจึงจะสวดอธิษฐานและรับประทานอาหารในตอนค่ำ บุคคลที่ถือศีลอดมีอายุระหว่าง 15-70 ปี ยกเว้นผู้ป่วย หญิงมีครรภ์ แม่ที่ให้นมลูก ผู้ใช้แรงงานมาก และผู้ที่เดินทางไกล การถือศีลอดนี้ ผู้นับถือบาไฮเชื่อกันว่าเป็นการละความเห็นแก่ตัวและกิเลส อีกทั้งเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูจิตใจอย่างแท้จริง
     5 การตาย การทำศพของบาไฮใช้วิธีฝังไม่มีการเผาเพราะร่างกายเป็นบัลลังก์แห่งวิหาร ภายในของวิญญาณ และต้องการเคารพในร่างกายที่ก่อขึ้นมาทีละน้อยในครรภ์มารดา จึงต้องปล่อยให้สลายเน่าไปทีละน้อย นอกจากพิธีกรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหลักปฏิบัติอย่างหนึ่งของศาสนิกชนบาไฮที่ ไม่จัดเป็นพิธีกรรมหรือวันสำคัญ นั่นคือ การแสวงบุญที่ผู้นับถือบาไฮทุกคนควรหาโอกาสในชีวิตไปชมสักการสถานเหล่านี้ ถึงแม้ว่าสักการสถานของบาไฮมีหลายแห่ง แต่ที่อยู่ในประเทศอิหร่านและอิรักนั้นไม่สามารถไปเยี่ยมชมได้เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย        ดังนั้น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบาไฮส่วนมากจึงอยู่ในอิสราเอล คือที่ไฮฟาและอัคคา ปัจจุบันนี้เป็นศูนย์กลางแห่งโลกของศาสนาบาไฮ สภายุติธรรมสากลได้เชิญผู้แสวงบุญทั้งหลายให้ไปเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ครั้งละ 9 วัน เพื่อสวดอธิษฐาน ณ สถูปต่างๆ เช่น สถูปของพระบ๊อบ อาคารเก็บหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อาคารที่ทำการของสภายุติธรรมสากลบนภูเขาคาเมลในไฮฟา เมืองอัคคา และสุสานของพระบาฮาอุลลาห์ที่บาห์จี





หลักความเชื่อและจุดหมายสูงสุด
         ศาสนาบาไฮ สอนว่า ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาที่แท้จริงของมนุษยชาติ มีเพียงศาสนาเดียว เป็นศาสนาสากล ส่วนศาสนาอื่นๆ ล้วนแต่มาจากศาสนาบาไฮทั้งสิ้น กล่าวคือ ศาสนาบาไฮเชื่อว่า ศาสนาต่างๆ มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่คนอาจเรียกพระองค์ด้วยพระนามต่างๆ กันไป ส่วนศาสดาของศาสนาต่างๆ ก็คือตัวแทนของพระองค์ที่ทรงส่งลงมา เพื่อเปิดเผยสัจธรรมของพระองค์แก่มนุษยชาติ ส่วนที่ต้องมีศาสดามากมายในยุคสมัยต่างๆ ก็เพราะสัจธรรมมีมาก หากพระเจ้าจะทรงให้ใครมาเปิดเผยความจริงทั้งหมดทีเดียว ก็เกินวิสัยที่มนุษย์จะรับได้จึงต้องใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นพระเจ้าจึงส่งศาสดามาตามยุคสมัยต่างๆ เพื่อนำสัจธรรมที่เหมาะสมกับยุคสมัยนั้นมาให้มนุษย์ปฏิบัติ ดุจเดียวกับการเจริญเติบโตของคนเป็นวัยต่างๆ จากเด็กทารก เด็ก หนุ่มสาว กลางคน และแก่เฒ่า ซึ่งแต่ละวัยก็มีวุฒิภาวะต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีครูมาสอนตามสถานศึกษาในระดับต่างๆ โรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย
        ดังนั้นศาสดาแต่ละองค์อาจมีคำสอนแตกต่างบ้าง มีวิธีการสอนแตกต่างกันบ้าง และเรียกศาสนาแตกต่างกัน ก็เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยนั้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ศาสดาแต่ละองค์จึงไม่ปฏิเสธคำสอนของศาสดาองค์ก่อนๆ อีกทั้งได้เพิ่มเติมคำสอนใหม่ๆ เข้าไปด้วย
       ศาสนาบาไฮเชื่อว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน เพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน และด้วยความเชื่อดังที่กล่าวมา จึงไม่ควรมีปัญหาทะเลาะวิวาทกันในเรื่องพระเจ้า ศาสนาและชั้นวรรณะ เพราะทุกอย่างมาจากแหล่งเดียวกัน พระบาฮาอุลลาห์กล่าวว่า "ศาสนาที่แท้จริงทั้งหลายมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน พระองค์ตรัสสัจธรรมผ่านศาสดาในยุคต่างๆ สัจธรรมได้วิวัฒนาการต่อเนื่องกัน และเป็นอมตธรรม" ศาสนาบาไฮเชื่อว่า เมื่อคนตายแล้ว วิญญาณได้ตายตามร่างกายไม่ วิญญาณเป็นอมตะและจะรอการพิพากษาในวันสิ้นโลก จากนั้นก็จะขึ้นสวรรค์หรือนรกตามกรรมที่ทำไว้ต่อไป ผู้ที่ขึ้นสวรรค์ก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก ดุจนกหลุดออกจากกรงขังสู่โลกกว้างแล้วก็จะไม่ปรารถนากลับสู่กรงขังอีกก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นการตายของร่างกายจึงเป็นการเกิดของวิญญาณในอาณาจักรพระเจ้า เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ บาไฮศาสนิกชนเชื่อว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากก้อนดิน ทั้งกำหนดชะตาลิขิตไว้ด้วย แต่พระองค์ก็ทรงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาด้วย เช่น พระเจ้าทรงสร้างหัวนมพร้อมทั้งน้ำนมให้หลั่งออกมาจากถันทั้ง 2 ของมารดา ทรงสร้างมารดาให้มีตาเพื่อคอยดูแลลูก ทรงสร้างหัวใจให้แก่มารดา เพื่อจะได้รักและเมตตาต่อลูกของนาง นอกจากนี้พระเจ้ายังได้ทรงสร้างสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับสอนมนุษย์ให้สำนึกถึงความดีของพระเจ้า จะได้ทำความดีแล้วจะได้กลับไปหาพระองค์อีก

สัญลักษณ์ของศาสนาบาไฮ     ในศาสนาบาไฮได้ทำรูปสัญลักษณ์เป็น 2 แบบ คือ
      แบบที่ 1 คือคำว่า ยาบาฮาอุลลาห์ภา เขียนตามแบบภาษาอาหรับ มีความหมายว่า ข้าแต่พระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ เหนือความรุ่งโรจน์

       แบบที่ 2 เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เส้นบนหมายถึง ภพของพระเจ้า เส้นกลางหมายถึงพระศาสดา และเส้นล่างหมายถึงภพของมนุษย์ ส่วนเส้นแนวดิ่งหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สืบจากพระเจ้าผ่านมาทางศาสนา เพื่อนำพระประสงค์ของพระองค์มาให้มนุษย์ทราบ ส่วนดาวสองดวงบ่งบอกว่า ในยุคนี้มีพระศาสดาคือพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์



บทบาทของศาสนาบาไฮต่อสังคม
        ศาสนาบาไฮนับตั้งแต่ท่านโชกิ เอฟเฟนดี ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2500 ระบบสืบตำแหน่งแทนก็เป็นอันสิ้นสุด ชาวบาไฮจึงได้จัดตั้งองค์กรมาบริหารศาสนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2506 แบ่งเป็น 3 ระดับ จากต่ำไปหาสูง คือ
      1. ธรรมสภาท้องถิ่น      2. ธรรมสภาแห่งชาติ
      3. ธรรมสภายุติธรรมสากล
        ศาสนาบาไฮ ถึงแม้จะเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด แต่ก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีศาสนิกของศาสนาบาไฮอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก โดยมีศาสนิกประมาณ 10 ล้านคน มี ธรรมสภาแห่งชาติไม่น้อยกว่า 148 แห่ง มีธรรมสภาท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 30,304 แห่ง และมีการแปลคัมภีร์ศาสนาบาไฮออกเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่า 756 ภาษา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีสำนักสาขาอยู่ทุกรัฐ และสำนักงานใหญ่ที่เมืองวิลเมตต์ บนฝั่งทะเลสาบมิชิแกน ใกล้เมืองชิคาโก แม้ในประเทศไทยก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ และยังมีสาขาต่างจังหวัดที่ เชียงใหม่ สงขลา และยโสธร อีกด้วย
ศาสนาบาไฮในทรรศนะทั่วไปถือกันว่า เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาอิสลาม โดยแยกตัวมาจากนิกายชิอะห์ นิกายชิอะห์เชื่อว่าหลังจากอิหม่ามหรือกาหลิบอาลีสิ้นชีวิตแล้ว ก็จะมีอิหม่ามสืบสายต่อมาอีก 12 คน แต่คนที่ 12 ได้หายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 9 แต่มุสลิมนิกายชีอะห์เชื่อว่าสักวันหนึ่งในอนาคตจะมาปรากฏอีก ต่อมาพระบ๊อบได้ประกาศว่าตัวท่านนี่แหละคืออิหม่ามที่ 12 ทั้งได้ปฏิรูปศาสนาอิสลามเสียใหม่ อันเป็นเหตุถึงแก่ความตาย เพราะถูก ยิงเป้าในปี พ.ศ. 2393 แต่ชาวบาไฮถือว่า ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาใด เพราะศาสนาบาไฮมีศาสดา หลักการ คัมภีร์ศาสนา ปฏิทินศาสนา โบสถ์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เป็นต้น เป็นของตน จนได้ทำเรื่องเสนอให้องค์การสหประชาชาติรับรองว่าเป็นศาสนาอิสระศาสนาหนึ่งของโลก เมื่อ พ.ศ. 2490 ซึ่งทางองค์การสหประชาชาติ ก็ได้รับรองสถานะดังที่เสนอมา แต่ศาสนาบาไฮในประเทศอิหร่านได้รับความกระทบกระเทือนมาก เพราะในปี พ.ศ. 2522 สมัยปฏิวัติศาสนาอิสลาม โดยมีอยาตอลละห์ รุฮอลลาห์ โคไมนี่เป็นหัวหน้าปกครองประเทศอิหร่าน เป็นสมัยที่ศาสนาบาไฮได้รับความเดือดร้อนเป็นที่สุด เพราะถูกถือว่าเป็นศาสนามิจฉาทิฏฐิ ชาวบาไฮถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่ถูกจำคุกก็มีมากมาย ทรัพย์สินและบ้านเรือนถูกยึด สมบัติของศาสนา สุสาน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ อีกทั้งเตรียมจะออกกฎหมายให้ถือว่า การฆ่าชาวบาไฮไม่ผิดอีกด้วย จึงเป็นเคราะห์ร้ายที่สุดของชาวบาไฮในประเทศอิหร่านซึ่งเป็นแผ่นดินที่เกิดของศาสนาบาไฮเอง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น